ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 17 หรือช่วงปี พ.ศ. 1940 - 2140 ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของศิลปะ วิทยาการตะวันตกอย่างมาก โดยเฉพาะเป็นการผสม ผสานเอาแนวคิดแบบธรรมชาติ ผนวกเข้ากับรูปแบบเดิมของศิลปะแบบกรีก และโรมันในอดีต จนกลายมาเป็นรูปแบบศิลปะเฉพาะตัวที่เรียกกันว่า ‘เรอนาสซองส์’ (Renaissance) หรือ ยุคแห่งการคืนชีพของศิลปะ นั่นเอง

ในยุคสมัยนี้ไม่เพียงแต่งานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ และการเมืองเท่านั้นที่เจริญรุดหน้าไปไกล และได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก แต่งานศิลปะเพื่อชีวิต และความงาม อย่างงานออกแบบพาณิชย์ศิลป์ เช่น การออกแบบเครื่องประดับ และเครื่องแต่งกาย ก็ได้รับความสนใจไปทั่วโลก มีการค้าขาย ออกแบบ และทำเครื่องประดับเพื่อจำหน่ายกันอย่างคับคั่ง จนได้รับการขนานนามว่า ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ หรือยุคทองของศิลปะ และเครื่องประดับ นั่นเอง

สำหรับงานออกแบบเครื่องประดับอัญมณี ในรูปของศิลปะเรอนาสซองส์นั้น ได้มีการพัฒนามาจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของงานศิลปะแทบทุกแขนงในสมัยนั้น ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลายไปยังฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะเครื่องประดับจี้ เข็มกลัดติดหมวกสตรี และแหวน โดยนักออกแบบเครื่องประดับในสมัยนี้อาจถือได้ว่ามีการทำงานแบบผสมผสานระหว่างประติมากร จิตรกร และช่างโลหะทองเข้าด้วยกัน จึงทำให้รูปแบบความงามที่ปรากฏมีความประณีต งดงาม และลึกซึ้งไปด้วยความหมาย…

อย่างไรก็ตาม ในบางขณะ ศิลปะการออกแบบเครื่องประดับในยุคเรอนาสซองส์นี้ ก็มักถูกเปรียบได้ว่าเป็นยุคสมัยแห่งความเป็นธรรมชาติด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะได้แนวคิดต้นแบบของศิลปะกรีก และโรมัน ที่ยึดถือรูปทรงแบบธรรมชาติเป็นสื่อในการสร้างสรรค์ นั่นเอง  ยกตัวอย่างเช่น ลายเถาวัลย์ ลายใบไม้ ลายผีเสื้อ และแมลงต่างๆ ที่ยังคงมีปรากฏอยู่ในงานศิลปะสมัยเรอนาสซองส์อยู่มาก แม้ว่าในระยะหลังจะมีรูปแบบของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นก็ตาม 

นอกจากนี้ ยังพบว่าในยุคสมัยเรอนาสซองต์ได้มีการพัฒนารูปแบบการตกแต่งอัญมณีที่มีการฝังพลอย และเจียระไนรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย กล่าวคือ จากเดิมที่มักมีการเจียระไนเพชรและพลอยแบบ ‘เบี้ยหลังเต่า’ ก็ได้มีการพัฒนามาเป็นการเจียระไนแบบ 'รูปเหลี่ยม (table-cuts)’ ซึ่งจะช่วยขับเน้นการสะท้อนแสงของอัญมณีต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้นด้วย นั่นเอง

ไม่เพียงแต่จะเน้นความงามที่หรูหรา และสมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่เรอนาสซองส์ยังแสดงออกถึงความมั่งคั่ง และรสนิยมที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างเปิดเผย และลงตัว ด้วยการนำเอาอัญมณี หินสีมีค่าขนาดใหญ่ ที่ยังคงไม่ผ่านการเจียระไน หรือมีการตกแต่งแบบฟุ่มเฟือยมากนัก มาทำเป็นเครื่องประดับจี้ สำหรับสตรีที่มาดมั่น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย…

และแล้ว หลังจากที่ยุโรปได้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยาวนานของยุคมืด ในสมัยกลางมาได้อย่างหวุดหวิด โลกก็ได้รู้จักกับความงามของศิลปะ ที่ฟื้นคืนจากความตายอีกครั้ง ในรูปแบบของศิลปะแห่งการเกิดใหม่ (Renaissance) นั่นเอง.

 

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ