หากเปรียบโอปอลเหมือนหญิงสาว ก็คงเทียบได้กับสาวน้อยวัยรุ่น ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอันเจิดจรัส ราวกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณเลยทีเดียว
ทั้งนี้เพราะโอปอลถือเป็นอัญมณีที่มีความโดดเด่น มีความพิเศษในตัวเองค่อนข้างมาก ความงามของโอปอลที่แท้จริงนั้น จึงไม่ได้เกิดจากการเจียระไน หรือตกแต่ง ประดับประดาจากวัตถุภายนอก (หรือจากตัวเรือนที่นำโอปอลไปประดับไว้) แต่เกิดจากเนื้อแท้ในธาตุต้นกำเนิดของโอปอลเองต่างหาก ซึ่งหากพิจารณาจากชนิดของโอปอลที่มีค่าสูง (High Precious Opal) เราจะพบว่าโอปอลที่มีค่าสูงนั้นจะมีความงามเป็นพิเศษอยู่ 2 ลักษณะคือ ความงามของพื้นหลัง (Back Ground) และความงามของสีสันและลวดลาย (Colour and Texture) ที่ปรากฏบนพื้นผิวของโอปอล นั่นเอง
ซึ่งหากพิจารณาจากหลักทั้งสองประการนี้ เราจะสามารถแยกโอปอลที่มีค่าสูง ออกจากโอปอลธรรมดา ที่มีราคาต่ำ ได้โดยดูจากสิ่งต่างๆ ดังนี้ คือ
การพิจารณาจากสีของฉากหลัง
โดยมากโอปอลที่มีค่าสูงมักมีสีของฉากหลังเป็นสีดำ สีขาวใสแบบคริสตัล สีน้ำเงิน สีแดง สีน้ำตาล สีเทายกตัวอย่างเช่น
- โอปอลไฟ (Fire Opal) มักมีพื้นหลังเป็นสีแดง สีเหลืองน้ำผึ้ง สีเหลืองส้มอมแดง ส่วนประกายไฟ หรือการเล่นแสงสีของโอปอล (play of colour) จะเป็นสีเขียว หรือแดง เป็นต้น
- โอปอลสีดำ (Black Opal) มักมีสีพื้นหลังเป็นสีดำ สีน้ำเงิน สีเทา และสีน้ำตาล โดยการเล่นสีของโอปอลชนิดนี้จะมีลักษณะแพรวพราวงดงามจับตาราวกับแสงสีของดวงดาวในจักรวาลเลยทีเดียว
- โอปอลคริสตัลใส (Light Opal) พื้นหลังของโอปอลชนิดนี้จะมีลักษณะใสเหมือนผลึกแก้วคริสตัล บางครั้งจึงอาจเรียกว่า “โอปอลคริสตัล” เนื่องเพราะมีการเล่นสีของไฟ แวววาวดุจเดียวกับแสงไฟที่กระทบบนผลึกแก้วคริสตัล นั่นเอง
- โอปอลโบลเดอร์ (Boulder Opal) พื้นหลังของโอปอลชนิดนี้มีความวาวใส แต่ไม่สะท้อนแสงแพราวพราวเหมือนแก้วคริสตัลเท่านั้นเอง
การพิจารณาจากลวดลายของโอปอล
- โอปอลที่มีลายจุดเล็กๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด แผ่กระจายอยู่ทั่วเม็ด หรือที่เราเรียกกันว่า ลาย Pin fire นั่นเอง
- โอปอลลายประกายไฟ หรือที่เรียกกันว่า ลาย Flash มีลักษณะของประกายไฟสม่ำเสมอทั่วทั้งเม็ด และเมื่อเปลี่ยนมุมในการมองโอปอลเม็ดนั้นไปในทิศทางที่ต่างกัน ลายของโอปอลที่ปรากฏก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
- โอปอลลายผ้า หรือ Harlequin เป็นลักษณะลวดลายบนเม็ดโอปอลที่แลดูคล้ายเศษผ้าสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กๆ หลากหลายสีสัน กระจายอยู่ทั่วทั้งเม็ด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ลวดลายที่แตกต่างกันออกไปของโอปอลแต่ละชนิดนั้น เกิดจากสนิมเหล็ก และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่เข้ามาผสมปะปนในเนื้อของโอปอล หรือที่เราเรียกกันว่า มลทิน ซึ่งมลทินต่างๆ นี้เอง ที่ทำให้โอปอลแต่ละชนิดมีสีสัน และลวดลายที่ต่างกันออกไป นั่นเอง
สำหรับโอปอลแบบธรรมดา ที่มีราคาต่ำกว่าโอปอลราคาสูงนั้น จะมีลักษณะไม่โดดเด่น ไม่เล่นสี และลวดลายของพื้นหลังเหมือนกับโอปอลดังที่กล่าวมานี้ ซึ่งสามารถจำแนกได้ 4 ชนิด คือ
- โอปอลที่มีสีขาวจางๆ คล้ายกับกระจกใส สีเงิน สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งเรียกว่า โอปอล Hyalite
- โอปอลที่มีสีดำ หรือสีน้ำตาล มีประกายลวดลายคล้ายยางไม้ ซึ่งเรียกว่า โอปอล Resin
- โอปอลชนิดทึบแสง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีสีขาวน้ำนม สีเหลืองอำพัน สีเทา และสีดำ เรียกว่า โอปอล Potch
- โอปอลที่มีลักษณะทึบแสง ผิวเนื้อมีรูพรุนคล้ายหินปะการัง แต่เมื่อนำไปจุ่มลงในน้ำจะเห็นเนื้อโอปอลมีความโปร่งใส ซึ่งเรียกโอปอลชนิดนี้ว่า Hydrophare
คำว่าโอปอลนั้นมาจากภาษาสันสกฤตที่ อูพาลา (Upala) หมายถึง หินมีค่า ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นโอปอลมีต้นกำเนิดมาจากใต้ชั้นหินซิลิกา ที่มีความลึกจากระดับพื้นดินลงไปราว 30 เมตร โอปอลจึงเป็นแร่ธรรมชาติที่มีน้ำและหินทรายเป็นส่วนประกอบหลัก (สูตรเคมีของโอปอลคือ Sio2 H2O) ทำให้โอปอลเป็นพลอยเนื้ออ่อนที่มีความแข็งอยู่ในระดับต้นๆ คือราว 5.5 – 6.5 โมลห์สเกลเท่านั้น จึงต้องระมัดระวังในการใช้ และการเก็บรักษาเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน เพราะหากถูกความร้อนมากๆ คุณสมบัติของโอปอล ซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบก็อาจจะระเหยไป ทำให้ลวดลายของโอปอลเปลี่ยนไปได้ด้วยเช่นกัน
บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ