ความแสดงเป็นเจ้าของนั้นปรากฏในชีวิตประจำวันอยู่หลายๆครั้ง ไม่ว่าการจับจองเป็นเจ้าของด้วยการวางเงินดาวน์ซื้อบ้าน และบ้านหลังนั้นก็จะมีป้ายบอกไว้ว่าจองแล้วในแปลน  หรือจับจองกระเป๋าแบรนด์เนมในร้านกระเป๋า แน่นอนป้ายจองแล้ว   ย่อมถูกติดไว้บนกระเป๋าเพื่อให้คนอื่นๆเห็นว่า ใบนี้คนอื่นไม่มีสิทธิซื้อ  อย่างไรก็ตามไม่ว่าบ้านหรือกระเป๋า   คนๆหนึ่งอาจจับจองได้หลายหลังหรือหลายใบพร้อมๆกัน แต่ว่าการจับจองหญิงสาวเพื่อเป็นคู่หมั้นนั้น ทำได้เพียงคนเดียวเท่านั้น  เพราะเป็นการจับจองหัวใจ มิใช่สิ่งของ และแหวนหมั้นก็คือหลักฐานการจับจอง นั้นเอง

ผู้ใดสวมแหวนหมั้นมีความหมายว่า  คนนั้นกำลังจะแต่งงานในไม่ช้า  เป็นประเพณีดั้งเดิมในยุโรปตะวันตกและอเมริกา ผู้ที่สวมแหวนหมั้นมักจะเป็นผู้หญิง   ผู้หญิงที่สวมแหวนหมั้นนั้น เป็นการยอมรับการขอแต่งงานจากฝ่ายชายแล้ว และในอเมริกาเหนือ ไอร์แลนด์และอังกฤษนั้น  การสวมแหวนหมั้นที่มือซ้ายเป็นประเพณีที่ปฎิบัติต่อเนื่องกันมานานแล้ว   ชายหญิงมักจะทำการสัญญาว่าจะแต่งงานกันโดยใช้แหวนหมั้นเป็นการจับจองไว้ก่อน หลังจากแต่งงานก็จะมีแหวนแต่งงานขึ้นมาอีกวง   บางคนก็สวมแหวนทั้งสองวงติดนิ้ว แต่ปกติแล้วจะสวมแหวนแต่งงานเพียงวงเดียว  หัวแหวนหมั้นมักจะเป็นเพชรและมีไม่น้อยที่ใช้พลอยเป็นหัวแหวนหมั้น

แหวนหมั้นใช้ในพิธีหมั้น ช่วงเวลาหมั้นนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกโดยพระสันตะปาปา อินโนเซนทที่สามท่านเป็นผู้กำหนดให้สถานะคู่หมั้นซึ่งเป็นสถานะของคนสองคนที่ผ่านพิธีหมั้นแล้ว   และกำลังจะแต่งงาน สถานะของคู่หมั้นจะหมดไปเมื่อคนสองคนเข้าสู่พิธีแต่งงานอย่างถูกต้องและเป็นที่ประกาศกันให้รู้โดยทั่วไป   ดังนั้นช่วงเวลาหมั้นเป็นช่วงที่ชายหญิงต้องหยุดความสัมพันธ์ฉันแฟนกับคนอื่นๆ   เป็นการเปิดโอกาสให้คนสองคน ได้ศึกษาอุปนิสัยใจคอกันมากขึ้น  รู้จักเรียนรู้กันและกัน  โดยไม่ให้เป็นที่ติฉินนินทาของคนทั่วไป ถือเป็นผลดีต่อชีวิตคู่ในอนาคต เพราะเมื่อศึกษานิสัยใจคอกันมากขึ้นแล้ว จะทำให้การปรับตัวเข้าหากันเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น    

แหวนหมั้นมีประวัติยาวนานเรามาเรียนรู้กันเถอะ เพื่อจะได้ทราบที่มาของแหวนหมั้นกัน

แหวนหมั้นมีครั้งแรกในยุคอียิปต์โบราณ เป็นแหวนเรียบ  เน้นความหมายของวงกลมของแหวน ความหมายว่าชั่วนิรันดร  ต่อมาในยุคโรมัน  แหวนหมั้นแกะสลักรูปกุญแจเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการปกป้องรักษาและ ความเป็นเจ้าของมากกว่าที่จะสื่อความหมายถึงความรักและเป็นกุญแจที่ไขไปสู่ความมั่งคั่ง     

ในยุคหนึ่งของโรมัน ราวๆก่อนคริสตศักราช ชาวโรมันมอบแหวนสองวงให้กับเจ้าสาว  วงแรกเป็นแหวนทองคำสำหรับใส่ออกไปข้างนอก และวงที่สองเป็นแหวนโลหะเหล็กสำหรับสวมใส่ขณะทำงานบ้าน  แหวนหมั้นในยุคโรมันมิได้สื่อเพียงแค่ความรักของชายหญิงเท่านั้น  แต่ยังสื่อความเป็นมิตรภาพ ด้วย  ในสมัยกรีซเริ่มมีการสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย  ซึ่งเชื่อว่าเป็นนิ้วที่มีเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจ   เวลาเดียวกันในทวีปยุโรปนิยมใช้แหวนทองเกลี้ยงเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความจงรักภักดี   ส่วนช่วงยุคการล่าอาณานิคมในอเมริกา  ให้ปลอกนิ้วสำหรับเย็บผ้า กับหญิงสาว เพื่อแสดงความผูกพันที่เป็นนิรันดร ส่วนปลายที่มีขอบมักจะแยกนำมาทำแหวนสวมนิ้ว

การนำแหวนเพชรมาเป็นแหวนหมั้นโดยบุคคลชั้นสูง  ครั้งแรกนั้นปรากฏเป็นเอกสารหลักฐานในยุค 1477 กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นในปี 1870 มีการค้นพบเหมืองเพชรในประเทศแอฟริกา  แหวนหมั้นเพชรจึงได้นิยมมากขึ้น แต่ก็อยู่ในกลุ่มขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้น   ส่วนใหญ่คนทั่วไปยังคงใช้แหวนทรงเรียบง่ายเป็นแหวนหมั้น  ในปี 1930 ในสหรัฐอเมริกานำแหวนหมั้นเพชรให้เข้าไปสู่คนในวงกว้าง โดยระบบอุตสาหกรรม ใครๆก็สวมแหวนหมั้นเพชรได้ มีการทำแคมเปญแหวนหมั้นเพชรจนกระทั่งผู้หญิง 80% ในอเมริกาใช้แหวนหมั้นเพชรกับการหมั้นของเธอ  นับว่ามีความนิยมอย่างกว้างขวางทีเดียว

แหวนหมั้นทำจากทองคำ ,แพลตินั่ม ,ไทแทเนียม, เงิน และสเตนเลส ก็นำมาทำแหวนหมั้นด้วย  แหวนหมั้นส่วนใหญ่จะเป็นแหวนเพชรมีทั้งเพชรแท้และเพชร สังเคราะห์ หรือพลอยทั้งพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็ง

แหวนหมั้นเป็นเพียงสิ่งจับจอง มีที่มาที่มีความหมายไปแต่ละยุคแต่ละสมัย  หากว่าแก่นของความรักคือหัวใจที่มั่นคงต่อกัน หัวใจที่ซื่อสัตย์ต่อกันจะทำให้คุณค่าของแหวนหมั้นไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือเงิน นั้นมีความหมายสำหรับคนสองคนอย่างที่ไม่สามารถกำหนดเป็นเงินหรือมูลค่าได้

บทความดังกล่าวข้างต้นจัดทำโดยทีมงาน บริษัท เลนญ่า จิวเวลรี่ จำกัด ทางเราจึงขอสงวนสิทธิ์ การคัดลอกเนื้อหาทุกบทความของทางบริษัทฯ
กรณีต้องการนำข้อมูลไปใช้หรืออ้างอิง กรุณาติดต่อทีมงานค่ะผ่าน LINE: @LenyaJewelry ค่ะ